ทริปนี้ใช้มือถือ (iphone4) สลับกับ Nikon D60 ก็จะมีรูปที่ชัดบ้างไม่ชัดบ้างตามยถากรรมของเทคโนโลยีในสมัยนั้นกันไปนะคะ
พร้อมแล้วก็ไปกันเลยค่ะ
ตอนเครื่องกำลังเข้าสู่สนามบินซูริค เราก็ตื่นตะลึงกับวิวแรกแล้วค่ะ มโนเองว่าเห็นทุ่งหญ้าด้านล่างเป็นรูปหัวใจด้วย <3
สิ่งแรกที่จะเล่าเอาเป็นเรื่องการเดินทางก่อนเลยนะคะ
หลังจากลงจากเครื่องที่สนามบินซูริค ให้เดินลงไปชั้นใต้ดินแล้วมองหาเคาเตอร์ของ SBB เพื่อซื้อ Swiss Pass สำหรับเดินทางแบบเหมาจ่าย ซึ่งใช้ได้ทั้งขึ้นรถไฟ รถราง รถบัส เรือ เข้าพิพิธภัณธ์บางแห่งฟรี และใช้เป็นส่วนลดในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวิสได้ทั่วประเทศ เอาแค่ค่าขึ้นยอดจุงเฟราก็ลดคุ้มแล้วค่ะ บัตร Swiss Pass จะเป็นกระดาษอ่อนๆขนาดยาวพกค่อนข้างยาก ใส่ซองพลาสติกมาให้ ถ้าหายก็นั่งร้องไห้แล้วเดินไปซื้อใหม่ได้อย่างเดียวค่ะ บนบัตรจะพิมพ์ชื่อนามสกุลและเลขพาสปอร์ตตามหน้าพาสปอร์ตเรา (แอบแต่งภาพปิดไว้ค่ะ) และระบุวันเวลาที่เราสามารถใช้ได้ลงบนบัตรมาเลย ระบบขนส่งสาธารณะที่นี่ไม่มีประตูกั้นตรวจบัตรอะไรทั้งนั้นค่ะ ทุกคนเดินขึ้นเดินลงเลย มีข้อความแปะไว้ตามยานพาหนะแค่ว่าถ้าเจ้าหน้าที่ขอตรวจตั๋วแล้วไม่มีจะโดนปรับ 100 CHF ค่ะ เรียกว่าใช้ระบบความซื่อสัตย์ล้วนๆค่ะ ไปอยู่สองอาทิตย์ โดนตรวจครั้งเดียวตอนนั่งรถไฟข้ามเมือง 4 ชั่วโมง นอกนั้น เดินขึ้นเดินลงตามใจชอบเลยค่ะ
ถ้าคนที่ไม่ได้ซื้อ Swiss Pass ตามสถานีหรือป้ายรถบัส ท่าเรือต่างๆ จะมีตู้ขายบัตร สามารถใช้เงินสดหรือบัตรเครดิตซื้อบัตรได้เลย แต่ถ้าใช้บัตรเครดิตนอกห้างจะต้องขอรหัสจากธนาคารไปก่อนด้วยนะคะ (ปกติบ้านเราจะใช้การเซ็นชื่อบนกระดาษ ซึ่งที่นั่นเซ็นได้แค่ร้านหรือห้างค่ะ)
การเดินทางที่สวิสคนที่นี่เค้าใช้แอพชื่อ SBB ค่ะ เราสามารถใส่สถานีต้นทางปลายทางแล้วนั่งเลือกเส้นทางที่จะเดินทางได้เลย ซึ่งแอพจะแสดงตารางเวลาแบบเรียลไทม์ ช่วยให้เราคำนวณได้ว่าจะต้องเดินไปถึงป้ายรถบัสกี่นาที ต้องเปลี่ยนรถไฟที่ชานชาลาไหน และมีระยะระหว่างการจอดรอกี่นาที แบบละเอียดยิบและตรงเวลามาก มาช้านาทีเดียวประตูปิดทันทีค่ะ นานๆทีจะมีเหตุให้รถเสียเวลา ในแอพก็จะเตือนและขึ้นตัวเองว่ารถคันนี้จะไปถึงช้ากี่นาที และคำนวณเวลาที่เหลือในเส้นทางให้ใหม่ด้วย
รถไฟที่นั่นกับ MRT บ้านเราคล้ายกันที่มีการแสดงเวลาที่รถกำลังมา (แต่เค้าไม่มีประตูกั้นอย่างที่บอกนะคะว่าขึ้นไปได้เลย เค้าสุ่มตรวจทีหลัง) แต่รถบัสเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากค่ะ ที่ป้ายรถบัสจะบอกสายรถและเส้นทางที่วิ่ง และแสดงเวลาของรถสายที่กำลังเข้ามาว่ากำลังมาจากสถานีอะไรในกี่นาทีจะถึงตรงตามเวลาที่แสดงในแอพเลยค่ะ
ถ้าอยู่นอกเมืองหน่อยก็จะใช้รถบัส รถไฟธรรมดา แต่ถ้าเข้าเมืองก็จะเจอรถรางสีสดใสตัดกับบรรยากาศย่าน Old city of Bern ทำให้ดูสวยงามไปอีกแบบค่ะ
รถไฟบ้านเค้าสะอาดสะอ้าน เบาะนุ่มนั่งก็สบายนอนก็สบาย แต่ช้าก่อน ขึ้นรถไฟแล้วอย่าเพิ่งรีบหลับนะคะ ไปเข้าห้องน้ำก่อนเลย เพราะที่สวิสไม่มีห้องน้ำสาธารณะค่ะ ห้องน้ำตามสถานีจะบริหารโดยบริษัทเอกชน ค่าเข้าครั้งละ 2 CHF (คร่าวๆก็ครั้งละ 80 บาทนั่นล่ะค่ะ) แต่ห้องน้ำบนรถไฟบริการฟรีสำหรับผู้โดยสารค่ะ สำหรับเราที่มีค่าใช้จ่ายจำกัด ก็ใช้วิธีนี้ล่ะค่ะ 55+
เรื่องเดินทางก็น่าจะมีประมาณนี้ค่ะ ขนส่งสาธารณะพื้นฐาน Swiss Pass ก็จะครอบคลุมหมด แต่ถ้าเป็นขนส่งเฉพาะจุด เช่น รถรางหรือรถไฟขึ้นเขา เราจะได้เป็นส่วนลดมาแทน ประมาณ 40-50% ค่ะ (ราคาเต็มของรถเฉพาะที่พวกนี้หลายพันบาทสำหรับเหมาขึ้นลงค่ะ ได้ส่วนลดก็ช่วยได้เยอะมาก)
มาเริ่มทัวร์กันเลยนะคะ
เมืองแรกที่ไปคือเมืองหลวงของสวิส กรุงเบิร์น (Bern) ค่ะ เมืองหลวงที่นี่ บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างจังหวัดบ้านเรามากกว่าจะเป็นเมืองหลวง เพราะเงียบ สงบ คนไม่พลุกพล่าน แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การคมนาคมทั่วถึง แต่รถโล่งสามารถชิวออกไปปั่นจักรยานได้สบายๆค่ะ จุดแรกที่เราจะเจอที่กรุงเบิร์นคือย่านเมืองเก่า (Old city of Bern) เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟจากเมืองอื่น เพื่อมาเปลี่ยนรถบัสหรือรถรางค่ะ ระหว่างที่เดินชมเมืองก็คอยฟังเสียงแล้วหลบรถรางที่ผ่านมากลางเมือง แต่ไม่อันตรายค่ะ เพราะรถวิ่งช้า และเค้าจะส่งสัญญาณให้เรารู้ตัวก่อนถ้าเห็นว่าเราขวางทางที่รถกำลังจะผ่าน
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของย่านเมืองเก่า นอกจากจะมีบรรยากาศบ้านเมืองแบบยุโรปโบราณแล้ว นั่นก็คือน้ำพุกว่าร้อยจุดรอบๆย้านเมืองเก่าที่ออกแบบสวยงาม และที่เราชอบมากคือ น้ำพุดื่มได้ค่ะ ใส สะอาด และเย็นมากเหมือนแช่ตู้เย็น แม้ว่าอุณหภูมิข้างนอกจะร้อนกว่า 30 องศา ไม่ใช่แค่ที่เบิร์นที่เดียวนะคะ แต่ในแทบทุกที่ของสวิสที่เจอน้ำพุแบบนี้ (เพื่อนที่นั่นบอกว่าดื่มได้ค่ะ ถ้าเพื่อนหลอกก็เชื่อไปแล้วเต็มๆ อร่อยดี) นอกจากเพื่อนบอกแล้ว บางจุดจะมีรูปแก้วน้ำเป็นสัญลักษณ์ค่ะ
แลนด์มาร์คอย่างหนึ่งของใจกลางย่านเมืองเก่าคือหอนาฬิกา (Zytglogge Clock Tower) ค่ะ จำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ว่ามีตอนไหนบ้าง แต่จำได้ว่าตอนหกโมงเย็นนาฬิกาจะตีและมีรูปปั้นสัตว์ออกมา นึกภาพนาฬิกานกคุกคูนะคะ แต่อันนี้ออกมาหมุนสวยๆค่ะ ไม่ได้เด้งออกมาเป็นนกคุกคูแบบนั้น (รูปนี้ทำกล้องชื้น เลยโฟกัสไม่ได้ ดูแบบเบลอๆแล้วจินตนาการตามนะคะ)
ถัดจากหอนาฬิกาไม่ไกลจะเดินไปเจออาคารรัฐสภา (Federal Building) ค่ะ ถ้ายืนรอจังหวะดีๆ ลานกว้างหน้าอาคารจะมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาทั้งหน้าลาน เด็กๆกับวัยรุ่นก็จะวิ่งเข้าไปเล่นค่ะ ในรูปคือน้ำลงไปแล้วเลยถอยออกมาถ่ายรูป จะเห็นรอยน้ำที่พื้นและเด็กยังรอเล่นอยู่เลยค่ะ
ตึกข้างๆ Federal Building อ่านชื่อไม่ออก แต่เป็นอาคารหนึ่งที่สวยงามเลยเก็บภาพมาด้วย
เดินเลยจากอาคารรัฐสภาไปจะเจอทางข้ามแม่น้ำอาเร่ค่ะ แม่น้ำนี้เป็นหัวใจของกรุงเบิร์น ช่วงฤดูร้อนคนที่นี่เค้าจะใส่ชุดว่ายน้ำไปรวมตัวกันที่ค่ายทางต้นน้ำ เพื่อลงน้ำแล้วให้กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวพัดมาจนมาถึงใกล้ย่านเมืองเก่าก็จะขึ้นฝั่งกันค่ะ เพื่อนบอกว่ามันเป็นช่วงเดียวที่อุณหภูมิน้ำมันเย็นสบายลงเล่นได้ เพราะหน้าอื่นมันมีตั้งแต่เย็นมากไปจนถึงแข็งค่ะ 55+ (ได้ลงไปแช่แต่ไม่มีที่ฝากกระเป๋าเลยไม่ได้ไหลไปกับเค้าด้วย แอบเสียใจเบาๆ)
พิสูจน์ความใสของแม่น้ำอาเร่ค่ะ แต่ถึงจะใสขนาดนี้ก็ดื่มไม่ได้นะคะ ที่ค่ายเค้ามีบริการน้ำประปาดื่มได้ให้ค่ะ
ลงเองไม่ได้เลยตัดสินใจเดินเลียบแม่น้ำตามฝรั่งสองคนนี้ไปค่ะ จะเห็นว่ามันไกลแบบมองไม่เห็นปลายทางน้ำเลยนะคะ (แต่ไม่ลึกนะ แค่ประมาณมิดหน้าอก เราสูง 168 ซม. ในภาพเค้านอนให้น้ำมันพัดไป น่าเล่นมากกกกก)
เดินตามไปถึงจุดที่น้ำเริ่มนิ่งเข้าใกล้ย่านกรุงเก่า เค้าก็ขึ้นกันไประหว่างทางเกือบหมดแล้ว
ตรงย่านเมืองเก่าจะมีที่กั้นน้ำ น้ำบริเวณนี้จะแรง ลงไปเล่นไม่ได้ แต่วิวสวยเหมาะกับการถ่ายรูปมาก
สิ่งหนึ่งที่จะเห็นระหว่างเดินอยู่ในใจกลางเมืองเบิร์นคือธงของสัตว์สัญลักษณ์เมือง นั่นคือ หมีสีน้ำตาล ซึ่งเค้าก็จะมีประวัติเล่าขานกันว่าหมีสำน้ำตาลมีความสำคัญกับเบิร์นยังไง สามารถแอบฟังได้จากไกด์ที่เดินนำทัวร์รอบหอนาฬิกา เพราะใต้หอนาฬิกามีรูปประวัติพี่หมีอยู่
ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเมืองก็ให้ความสำคัญกับหมีสีน้ำตาลที่เป็นสัญลักษณ์เป็นอย่างดี และใช้ภาษีประชาชนทำบ่อหมีและเลี้ยงดูไว้ริมแม่น้ำอาเร่นี่แหละ แต่มีกรงกั้นเป็นทางยาว ชาวเมืองก็จะมายืนดูตอนกลางวัน แต่น้องหมีจะออกมาหรือไม่อันนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแต่ละคน แต่เรากับหมีคงทำบุญด้วยกันมาแต่ชาติปางก่อน เพราะเราเจอหมีวิ่งเล่นครบ 3 ตัวที่เค้าเลี้ยงเอาไว้เลย แต่เอามือถือถ่ายไว้ได้ตัวเดียว ส่วนอีกสองตัวไปยืนสองขาเอามือตีกันเหมือนเด็กเล่นต่อสู้อยู่ไกลๆ ชาวเมืองก็มายืนดูกันใหญ่ เพื่อนบอกว่าบางคนอยู่มาตั้งนานก็เพิ่งเคยเห็นพี่หมีนะ เพราะเค้าเลี้ยงแบบธรรมชาติ มีถ้ำนอน มีต้นไม้ปกคลุม ไม่ได้เลี้ยงเพื่อโชว์ตัวแบบตามสวนสัตว์
เราจะเดินทางจากย่านเมืองเก่าเหมือนเดิมนะคะ น้ำพุกว่าร้อยจุดเท่าเล่าเอาไว้ในตอนที่แล้ว ถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่ารูปปั้นด้านบนของน้ำพุมีความสวยงามแตกต่างกันออกไปค่ะ
ในย่านเมืองเก่ามีโบสถ์เก่าแก่และยังคงความสวยงาม ที่ชื่อว่า Nydegg Church อันที่จริงไม่ใช่โบสถ์ใหญ่ของเบิร์น แต่ว่าอยู่ในระแวกที่เดินเล่นอยู่พอดี เลยเข้าไปแวะชมค่ะ
ด้านในโบถส์ตกแต่งสวยงามมากค่ะ เพื่อนบอกว่าแนวการแต่งโบถส์จะขึ้นอยู่กับว่าเป็นนิกายไหน ต้องอ่านประวัติของโบถส์แต่ละที่ดู จะมีแนวตกแต่งเว่อวังกับเรียบง่ายดูสงบแบบขลังๆค่ะ
เดินถัดมาไม่กี่ซอยก็จะเจอบ้านของไอสไตน์ (Einstein House) ค่ะ บ้านจะอยู่ปนกับร้านรวงในย่านเมืองเก่า ชั้นล่างทำเป็นร้านอาหาร ทางเข้าบ้านต้องขึ้นบันไดเล็กๆข้างร้านไปชั้น 2 ที่นี่ Swiss Pass ได้แค่ส่วนลดค่ะ เสียค่าเข้าไป 5 CHF เข้าไปดูว่าไอสไตน์ตกแต่งบ้านแบบไหน ของใช้ต่างๆของไอสไตน์และภรรยาบางส่วนยังคงจัดแสดงอยู่จริง และบางส่วนเค้าเอามาวางแต่งเพิ่มเติม ส่วนไหนที่เป็นของเดิม เค้าจะทำป้ายเล่าค่ะ เช่น ตู้เสื้อผ้าของภรรยา ก็จะมีรูปและป้ายบรรยายอยู่
ตลอดทริปนี้ส่วนใหญ่เดินทางคนเดียวค่ะ เพื่อนไปทำงานทุกวัน เลยไม่มีคนถ่ายรูปให้ เลยพยายามเซลฟีด้วยกล้องหน้าของไอโฟนด้วยการจับเวลา แล้ววิ่งไปยืนรอ นักท่องเที่ยวคงสงสารค่ะ เดินมาบอกว่า ถ่ายให้ไหม เลยมีโอกาสมีรูปคู่โซฟาลุงไอสไตน์ 1 รูปถ้วน
ขนมอย่างหนึ่งที่หากินได้ในย่านเมืองเก่า และเพื่อนแนะนำให้มาลอง คือ โครนัท ค่ะ เพื่อนบอกว่ามันเป็นญาติกับครัวซองและโดนัท ฐานแป้งเป็นครัวซองแล้วราดครีมรสต่างๆ อย่าถามถึงแคลอรี่นะจุดนี้ ของต้องชิมก็ต้องชิมค่ะ 55+
จุดต่อไปที่เราจะไปเราจะข้ามแม่น้ำอาเร่ไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเบิร์น (Bernisches Historisches Museum) กับพิพิธภัณฑ์ลุงไอสไตน์ (the Einstein Museum) ค่ะ ต่างจากที่บ้านลุงที่ตรงนั้นจะเล่าประวัติและตัวอย่างผลงานของลุงค่ะ
พอเราเดินข้ามแม่น้ำมา เราจะเจอรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
เดินอ้อมรูปปั้นมาด้านหลังจะเจอทางเข้าพิพิธภัณฑ์ค่ะ วันที่ไปมีกิจกรรมให้เด็กๆทำความรู้จักกับอาวุธแบบโบราณโดยสาธิตและให้ทดลองใช้ในการตัดไม้ที่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ค่ะ
ตัวพิพิธภัณฑ์เองก็มีความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมทางฝั่งยุโรป พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ไอสไตน์อยู่ภายในอาคารเดียวกันค่ะ แต่จะแบ่งสัดส่วนและแยกจำหน่ายบัตรกัน แต่ที่นี่ Swiss Pass เข้าฟรีนะคะ (ราคาน่าจะ 15 CHF นะคะถ้าจำไม่ผิด)
เดินเข้ามาห้องจะจะเป็นประวัติศาสตร์โลกทั่วๆไป จะเจอโลงศพมัมมี่ ห้องอาวุธโบราณจากทั่วโลก ที่สะดุดตาคืออาวุธชิ้นนี้ หาคำอธิบายไม่เจอ แต่ลายหล่อเหล็กบนด้ามมีดมีช้างด้วยค่ะ แอบอยากรู้ว่าเป็นของแถบบ้านเราหรือเปล่า แต่ความรู้ด้านนี้เป็นศูนย์เลยถ่ายรูปเก็บมาเฉยๆ รูปด้านในพิพิธภัณฑ์จะใช้ไอโฟนถ่ายทั้งหมดนะคะ เพราะว่ากล้องที่เอาไปสู้ที่มืดแสงน้อยไม่ไหวค่ะ เก่ามากแล้ว
เดินถัดมาจะเจอห้องที่เล่าเรื่องราวของเมืองเบิร์น
อย่างอันนี้ก็เป็นเรื่องเล่าพี่หมีที่เคยพูดถึงเอาไว้ในตอนที่แล้วค่ะ
โมเดลจำลองส่วนกรุงเก่า (City of Bern) ค่ะ
นอกจากนั้นก็มีพวกรูปปั้นกับเรื่องราวทางศาสนา พอครบรอบแล้วก็จะวนมาเจอทางออกที่เชื่อมไปยังพิพิธภันฑ์ไอสไตน์ต่อค่ะ
อย่างที่บอกไปว่าบ้านและของใช้ส่วนตัวจะจัดแสดงที่บ้านไอสไนต์ในย่านเมืองเก่า ในส่วนพิพิธภัณฑ์จะเป็นการเล่าเรื่องราวและผลงานค่ะ โดยใช้การแสดงด้วยรูปภาพ เครื่องฉาย หรือวิดิโอไล่ตามกำแพงไปเรียงลำดับช่วงชีวิตที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับไอสไตน์ตั้งแต่เด็กจนย้ายถิ่นฐานมาเรียนหนังสือที่สวิส แล้วมาแต่งงานตั้งรกรากอยู่ที่เบิร์นกับภรรยา ในส่วนนี้จึงไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เป็นการเดินอ่านเดินดูซะมากกว่าค่ะ
อีกที่หนึ่งที่เราควรจะรู้ในการไปกรุงเบิร์น คือ ที่นี่มีสถานฑูตไทยประจำกรุงเบิร์นตั้งอยู่ กรณีที่เราทำพาสปอร์ตสูญหายต้องมาติดต่อที่นี่ค่ะ ปีที่ไปเป็นปีที่เค้าเพิ่มบริการการทำบัตรประชาชนสำหรับคนไทยในสวิสให้ด้วย ถ้าใครบัตรหมดอายุช่วงนั้น เพื่อนบอกว่าก็สามารถขอต่ออายุได้ บัตรก็จะหน้าตาเหมือนที่ทำที่ไทยแต่จะมีคำว่า ณ กรุงเบิร์นอยู่บนบัตร เห็นคนเดียว เกร๋อยู่ในใจนะคะ 55+
ปิดท้ายกรุงเบิร์นด้วยร้านช็อคโกแลตเก่าแก่ของเบิร์น มีสาขาอยู่ที่สถานีรถไฟ และสาขาใกล้ๆกับสถานฑูตด้วยค่ะ ช็อคโกแลตที่นี่เป็นช็อคโกแลตสด หลายรสชาด ทำเป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ ขอชิมได้นะคะ แต่พนักงานเค้าพูดเยอรมัน คุยไม่รู้เรื่องก็ชี้ๆเอาค่ะ ได้ช็อคโกแลตสดมา 100 กรัม หลังจากชิมมั่วไปหลายแบบ
จะพาไปเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม 2 เมืองค่ะ
เมืองแรก คือ Zurich เป็นเมืองเศรษฐกิจ ย่านช็อปปิ้ง แต่ต่างจากเมืองช็อปปิ้งอย่างฮ่องกงหรือสิงคโปร์ตรงที่ เราจะเดินช็อปปิ้งท่ามกลางตึกทรงยุโรปสวยบนถนนหินค่ะ ร้านขนมดังอย่าง Laduree ก็สามารถหาทานได้ที่ซูริคเหมือนกัน
ระหว่างร้านรวงต่างๆก็จะมีงานศิลป์แทรกอยู่เป็นระยะ บางอันก็สวย บางอันก็เข้าไม่ถึงแบบอันนี้ค่ะ ถามเพื่อนว่านี่อะไร เพื่อนบอกไม่รู้ จบค่ะ 55+
นอกจากร้านแบรนด์เนมใหญ่น้อยทั้งหลายแล้ว ที่ซูริคก็มีตลาดนัดริมทะเลสาบให้ช็อปของมือสองของอินดี้กันด้วยนะคะ
แลนมาร์คอย่างหนึ่งของซูริค คือ St. Peter Church (St. Peterskirche) ค่ะ มองจากสะพานไปจะเห็นยอดโบถส์หลังคาแหลมสีน้ำตา มีนาฬิกาติดอยู่
ข้างๆกับโบถส์ St. Peter เราจะเห็น Church of Our Lady (Fraumunster) หลังคาแหลมสีเขียวค่ะ
ที่ซูริคเราไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เดินกินขนมกินไอติมซะมากกว่า เพราะส่วนใหญ่มีแต่ร้านค้า ร้านอาหารค่ะ
------------------
ข้ามมาที่ Lucerne อีกหนึ่งเมืองยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยว เพราะเป็นเมืองที่มีจุดท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่หลายแห่ง ตอนเช้าตั้งใจจะไปขึ้นรถไฟที่ชันที่สุดในโลกที่สถานี Pilatus ก่อนเข้าไปในตัวเมืองค่ะ รถไฟที่ว่าหน้าตาแบบนี้ค่ะ ราคาค่าขึ้นเขาด้วยรถไฟอันนี้เหมารวมขึ้นลงแบบใช้ Swiss Pass ลดแล้ว 34 CHF รู้สึกเลือดซิบออกมาเล็กน้อย แต่ตั้งใจมาก็ต้องไปต่อค่ะ
จุดสีแดงๆกลางภาพนั่นล่ะค่ะ รถไฟที่ขึ้นมาเมื่อกี้ แต่ในระหว่างที่นั่งรถไฟขึ้นมา ก็เจอคนสวิสเดินขึ้นมาค่ะ แต่เค้ามีอุปกรณ์ hiking นะคะ เป็นกิจกรรมของคนที่นี่ในช่วงฤดูร้อนที่จะมาปีนเขาออกกำลังกายกัน
พอขึ้นมาด้านบน จะเจอร้านอาหารและป้าย Pilatus ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี หิมะในยอดเขาที่สูงระดับกลางละลายเกือบหมดแล้ว แต่ถ้ามองจากยอดเขา Pilatus ออกไป จะยังเห็นวิวหิมะปกคลุมยอดเขาอยู่ค่ะ คนที่นี่ก็จะนั่งกินข้าวอาบแดดอย่างมีความสุข แต่ขอบอกว่าร้อนมาก แสงจ้ามาก การขึ้นเขาสูงๆสิ่งที่ต้องมีติดตัวอีกอย่างหนึ่งคือวันกันแดดที่กรองแสงดีดีนะคะ
บนยอด Pilatus จะมีกีฬากลางแจ้งอีกอย่างหนึ่ง คือ การโดดร่มพาราชูท ค่ะ
สัตว์สัญลักษณ์ของยอด Pilatus ท่าทางจะเป็นน้องหมาเซนต์เบอร์นาร์ดค่ะ เพราะว่ามีร้านขายของที่ระลึกพวกพวงกุญแจ ตุ๊กตา ปากกา รูปทรงน้องหมา แถมมีน้องหมาอีกสองสามตัวแขวนถังไวน์คอยนั่งยิ้มให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปด้วย
ลงจากเขามา เราจะเข้าเมืองต่อค่ะ สามารถไปทางรถไฟก็ได้ แต่การเที่ยวครั้งนี้จะมีเสนห์กว่าถ้าเราล่องเรือผ่าน Lake of Lucerne จากสถานี Pilatus เข้าไปเทียบท่าที่กลางเมือง Swiss Pass ขึ้นฟรีนะคะ
ตลอดทางที่ล่องเรือไปก็จะเห็นวิวภูเขาเขียวขจี มีบ้านทรงน่ารักๆประปราย ลมเอื่อยๆ แดดอ่อนๆ
พอเรือเข้ามาเทียบท่า บรรยากาศก็จะเปลี่ยนเป็นวิวเมืองตึกทรงยุโรปที่สวยชวนเก็บภาพไปอีกแบบค่ะ
พอขึ้นฝั่งมาจะเจอสถานีรถไฟ Lucerne ที่คงไว้ซึ่งความสวยงามแบบดั้งเดิม
ข้ามถนนมาก็จะเจอ The Kapellbrücke (หรือ Chapel Bridge) ค่ะ แม้จะมีอายุเก่าแก่มากแล้ว แต่ก็มีการซ่อมแซมให้ยังใช้งานได้อยู่และมีสีสันสวยงามค่ะ
ข้างๆกันก็จะมีสะพานแบบใหม่ที่เป็นสะพานปูนแบบแข็งแรงและกว้างกว่า คนที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวก็จะข้ามทางนี้กันซะมากกว่าค่ะ
ก้มมองลงไปใต้สะพานก็จะเจอหงส์ว่ายน้ำเล่นอยู่เป็นปกติ ตรงริมท่าเรือหงส์ก็มานั่งผึ่งแดดผึ่งลมกันแบบไม่กลัวนักท่องเที่ยวเลยค่ะ ถ้าโชคดีจะเจอหงส์อุ้มลูกว่ายน้ำ น่ารักมาก แต่ถ่ายไม่ทันค่ะ
ข้ามสะพานมาก็จะเป็นย้านร้านอาหารและร้านค้า ก็ยังคงมีคนพลุกพล่านพอสมควรเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญค่ะ
ปิดท้ายด้วยขนมอีกนะคะ ช็อคโกแล็ตยี่ห้อดังของสวิส เพื่อนพาเรียกว่าช็อคโกแลตหัก หรือร้าน Laderach ค่ะ แทบจะพบเจอได้ในเมืองใหญ่ๆเกือบทุกเมือง ความคลาสิคคือไปเลือกช็อคโกแลตแล้วเค้าจะหักๆเอาไปชั่งกิโลแล้วคิดเงินให้เรา รสชาดช็อคโกแลตสวิสนี่ไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้วค่ะ กินแบบนี้อร่อยกว่าแพ็คสำเร็จเป็นสิบเท่าเลยค่ะ
ขนมอีกอย่างหนึ่งที่ต้องลองชิม คือ Luxembergeri เป็นลูกเป็นหลานอะไรของมาการองก็ไม่ทราบได้ หน้าตาคล้ายๆกัน แต่จะอันเล็กจิ๋ว แล้วก็มีรสชาดหลากหลายกว่าค่ะ เปรี้ยวไปเลยก็มี
ย้อนไปเที่ยวสวิสด้วยคนครับผม อิอิ
ReplyDeleteย้อนไปเที่ยวสวิสด้วยคนครับผม อิอิ
ReplyDelete